“เอไอเอ” ครึ่งปีแรก มูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 37 มูลค่ากว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตอย่างยอดเยี่ยม

เอไอเอ เดินหน้าเติบโตอย่างยอดเยี่ยมในครึ่งปีแรกของปี 2566 มูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 37 จากการเติบโตของทุกส่วนงานที่รายงาน กำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษีต่อหุ้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 ในขณะที่เงินปันผลระหว่างกาลต่อหุ้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 5

กลุ่มบริษัทเอไอเอ ยินดีที่จะประกาศผลประกอบการ 6 เดือนที่ผ่านมา สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 อัตราการเติบโตรายงานจากอัตราแลกเปลี่ยนคงที่

ผลประกอบการของธุรกิจใหม่

มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เพิ่มขึ้นร้อยละ 37 คิดเป็นมูลค่า 2,029 ล้านเหรียญสหรัฐ

• เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (ANP) เพิ่มขึ้นร้อยละ 49 คิดเป็น 3,984 ล้านเหรียญสหรัฐ

• ทุกส่วนงานที่รายงานและทุกช่องทางการขาย มีการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ในเชิงบวก

รายได้และทุน

กำไรจากการดำเนินงานบนมูลค่าพื้นฐานของกิจการ (EV operating profit) อยู่ที่ 4,423 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ต่อหุ้น

• อัตราผลตอบแทนจากการดำเนินงานบนมูลค่าพื้นฐานของกิจการ (ROEV) อยู่ที่ร้อยละ 13.3 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 9.4 ในช่วงตลอดปี 2565 ที่ผ่านมา

• ส่วนที่เพิ่มขึ้นของเงินกองทุนส่วนเกิน (UFSG) อยู่ที่ 3,288 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ต่อหุ้น

• กำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษี (OPAT) อยู่ที่ 3,272 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 ต่อหุ้น

• ส่วนทุนตามมูลค่าธุรกิจประกันภัย (EV Equity) อยู่ที่ 70.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากหักโครงการซื้อหุ้นคืนและจ่ายเงินปันผลรวมทั้งสิ้น 3.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ

• เงินกองทุนส่วนเกิน (Free surplus) อยู่ที่ 16.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566

• Group Local Capital Summation Method (Group LCSM) ของกลุ่มบริษัทแข็งแกร่งมาก ครอบคลุมอัตราส่วนร้อยละ 260 จากข้อกำหนดด้านเงินทุนที่ประกาศล่าสุด

เงินปันผลระหว่างกาลและโครงการซื้อหุ้นคืน

เงินปันผลระหว่างกาลอยู่ที่ 42.29 เซนต์ฮ่องกงต่อหุ้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 5

• ผลตอบแทนผู้ถือหุ้นผ่านโครงการซื้อหุ้นคืนในครึ่งปีแรกของปี 2566 อยู่ที่ 2.0 พันล้านเหรียญสหรัฐ

นายหลี่ หยวน ชยอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทเอไอเอ กล่าวว่า “เอไอเอได้แสดงผลงานอันยอดเยี่ยมในการสร้างธุรกิจใหม่ โดยมีมูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 37 คิดเป็นกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 เรามีการรายงานตัวเลขทางธุรกิจที่เติบโตในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น กำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษี (OPAT) กำไรจากการดำเนินงานบนมูลค่าพื้นฐานของกิจการ (EV operating profit) ส่วนที่เพิ่มขึ้นของเงินกองทุนส่วนเกิน (UFSG) และส่วนทุนตามมูลค่าธุรกิจประกันภัย (EV Equity)

“เรามองเห็นการกลับมาของธุรกิจที่มีความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืนในครึ่งปีแรกของปี 2566 นอกเหนือจากนั้น ส่วนงานของเราที่รายงานมา รวมถึงช่องทางการขายทุกช่องทาง สามารถสร้างมูลค่าธุรกิจใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจากผลกระทบของสถานการณ์โรคระบาด ตลอดจนจุดแข็งของแพลตฟอร์มการขายของเอไอเอที่เหนือกว่าคู่แข่งในทั่วภูมิภาคเอเชีย ได้มีส่วนช่วยขับเคลื่อนการกลับมาของการสร้างธุรกิจใหม่ที่แข็งแกร่งอย่างมาก รวมไปจนถึงการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ที่เพิ่มขึ้นเป็นเลขสองหลักจากเอไอเอ ประเทศจีน การรวมกลุ่มธุรกิจอาเซียน และ ทาทา เอไอเอ ประกันชีวิต ตลอดจนการร่วมทุนของเราในอินเดีย ในขณะเดียวกัน เอไอเอ ฮ่องกง ยังมีการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ที่เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับในครึ่งปีแรกของปี 2565 โดยมาจากนักท่องเที่ยวชาวจีนแผ่นดินใหญ่เป็นหลัก”

“การเติบโตของพอร์ตโฟลิโอคุณภาพสูง รวมถึงความมีวินัยทางการเงินของเรา ทำให้กำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษี (OPAT) และส่วนที่เพิ่มขึ้นของเงินกองทุนส่วนเกิน (UFSG) เพิ่มสูงขึ้น โดยเราได้มอบผลตอบแทนมูลค่ารวมทั้งสิ้น 3.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ให้แก่ผู้ถือหุ้นในครึ่งแรกของปี 2023 ผ่านเงินปันผลและโครงการซื้อหุ้นคืนที่กำลังดำเนินอยู่ ซึ่งได้สร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นและเป็นประโยชน์อย่างมากในส่วนของกำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษี (OPAT) และส่วนที่เพิ่มขึ้นของเงินกองทุนส่วนเกิน (UFSG) ต่อหุ้น สำหรับส่วนทุนตามมูลค่าธุรกิจประกันภัย (EV Equity) นั้นมีมูลค่าอยู่ที่ 70.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 ในครึ่งแรกของปี 2566 ก่อนหักเงินปันผลและโครงการซื้อหุ้นคืน โดยรวมนั้น สถานะทางการเงินของกลุ่มบริษัทเอไอเอยังคงแข็งแกร่งมาก ด้วยเงินกองทุนส่วนเกิน (Free surplus) จำนวน 16.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ และ Group LCSM ของกลุ่มบริษัท ครอบคลุมอัตราส่วน ที่ร้อยละ 260 ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2023”

“คณะผู้บริหารได้ประกาศการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เป็นมูลค่า 42.29 เซนต์ฮ่องกงต่อหุ้น โดยเป็นไปตามนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่รอบคอบ ยั่งยืน และก้าวหน้าของเอไอเอ ซึ่งช่วยให้มีโอกาสเติบโตในอนาคตและเสริมความยืดหยุ่นทางการเงินของกลุ่มบริษัท ช่องทางการขายของเอไอเอที่เหนือกว่าคู่แข่งถือเป็นข้อได้เปรียบสำคัญ รวมทั้งการที่เอไอเอได้นำเทคโนโลยี ดิจิทัล และการวิเคราะห์มาใช้อย่างกว้างขวางทั่วทั้งกลุ่มบริษัทตลอด 3 ปีที่ผ่านมานั้น ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจรวมถึงช่วยพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของตัวแทนและช่องทางพันธมิตรธุรกิจในการขายของเราอีกด้วย”

“จากการที่เรายึดมั่นมาอย่างยาวนานในเรื่องคุณภาพ การฝึกอบรม และการดำเนินงานผ่านดิจิทัล ได้ส่งผลดีต่อขนาด การเข้าถึง และความสามารถของตัวแทนของเราในช่วงโรคระบาด ในขณะที่กิจกรรมการขายได้เข้าสู่สภาวะปกติในครึ่งปีแรกของปี 2566 ทั่วทุกตลาด การมุ่งเน้นกิจกรรมเพื่อสร้างลูกค้าใหม่จากตัวแทนนั้น ได้สร้างมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ร้อยละ 27 และจำนวนสมาชิกสโมสรล้านเหรียญโต๊ะกลม (MDRT) ยังเติบโตขึ้นถึงร้อยละ 49 ทำให้ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เอไอเอ ถูกจัดให้เป็นบริษัทอันดับ 1 ของโลกที่มีจำนวน MDRT มากที่สุด ต่อเนื่องเป็นปีที่ 9”

“มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) จากช่องทางพันธมิตรเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งถึงร้อยละ 62 ซึ่งได้รับการขับเคลื่อนจากพันธมิตรธนาคารและช่องทางของที่ปรึกษาด้านประกันชีวิตและการเงิน (IFA) ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ของเอไอเอกับธนาคารชั้นนำทำให้เพิ่มมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ร้อยละ 38 โดยได้รับแรงหนุนจากผลงานที่ยอดเยี่ยมของประเทศจีน ฮ่องกง ไทย สิงคโปร์ อินเดีย และฟิลิปปินส์ นอกจากนั้น เรายังคงทำงานอย่างต่อเนื่องร่วมกับพันธมิตรธนาคารต่าง ๆ เพื่อพัฒนาผลผลิตในหมู่พนักงานขายประกัน ผ่านทางการฝึกอบรมและเสริมความสามารถในด้านดิจิทัล”

“เอไอเอ ประเทศจีน ได้กลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งอีกครั้งด้วยการเพิ่มขึ้นของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ถึงร้อยละ 29 ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงที่อัตราการแพร่ระบาดของโควิด 19 ลดลง และกิจกรรมต่าง ๆ เริ่มเข้าสู่สภาวะปกติมากขึ้น เราได้เห็นความต้องการอย่างมากในผลิตภัณฑ์ออมเงินระยะยาว รวมไปถึงผลิตภัณฑ์บำนาญที่ลดหย่อนภาษีซึ่งเราเพิ่งเปิดตัว ทั้งนี้เราพบว่าผลิตภัณฑ์ประกันที่มอบความคุ้มครองแบบดั้งเดิมยังคงเป็นสินค้าเรือธงในหมู่ลูกค้าของเรา ซึ่งทั้งหมดนับเป็นส่วนใหญ่ของผลิตภัณฑ์ประกันที่ได้ขายไปในครึ่งแรกของปี 2566 โดยรวมแล้วมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เติบโตร้อยละ 14 ในช่วงครึ่งปีแรกของ 2566 สำหรับเอไอเอ ประเทศจีน”

“จีนแผ่นดินใหญ่มีศักยภาพที่มากมายสำหรับเอไอเอ ทั้งในพื้นที่ที่เราได้ดำเนินการอยู่แล้ว รวมถึงการขยายเพิ่มเติมไปยังภูมิภาคใหม่ ๆ เราได้ขยายสาขาใหม่ไปยังเจิ้งโจว เหอหนาน ในเดือนพฤษภาคมปีนี้ และด้วยการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ยืดหยุ่นและต่อเนื่องของเรา ทำให้มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) จากตัวแทนขายสูงขึ้นร้อยละ 36 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 44 สำหรับจำนวนตัวแทนขายในการดำเนินงานใหม่ของเรา นอกจากนี้ เรายังมีมูลค่าธุรกิจใหม่ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งจากการร่วมมือกับพันธมิตรธนาคาร เช่นการเพิ่มยอดขายผ่านธนาคาร Postal Savings Bank of China การลงทุนร้อยละ 24.99 ของเราใน China Post Life ได้ส่งผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยมอย่างต่อเนื่อง โดยมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ของ China Post Life สูงขึ้นร้อยละ 55 สำหรับครึ่งปีแรกของ 2566 ถึงแม้ว่าจะไม่รวมคำนวณอยู่ในมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ของเอไอเอก็ตาม”

“มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ของเอไอเอ ฮ่องกง เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตเป็นเลขสองหลักจากกลุ่มลูกค้าในประเทศของเราและการเพิ่มขึ้นอย่างมากในธุรกิจนักท่องเที่ยวจากจีนแผ่นดินใหญ่ (MCV) หลังจากการกลับมาเริ่มต้นการเดินทางตามปกติอีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ ตัวแทนในพรีเมียร์ เอเจนซี่ ของเรายังคงเป็นผู้นำตลาดที่ชัดเจนและเรามีจำนวนตัวแทนที่ประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้นเพิ่มขึ้นเป็นเลขสองหลักอย่างมีนัยสำคัญ มูลค่าธุรกิจใหม่มาจากช่องทางพันธมิตรธุรกิจของเรา คิดเป็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้นมากกว่าสามเท่าด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมจากช่องทางการขายประกันผ่านธนาคาร และเรากลับมาครองตำแหน่งตลาดอันดับหนึ่งในช่องทางที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA) ด้วยการกลับมาของธุรกิจนักท่องเที่ยวจากจีนแผ่นดินใหญ่”

“เอไอเอ ประเทศไทย ประสบความสำเร็จในการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ร้อยละ 28 ซึ่งยังคงรักษาความต่อเนื่องทางธุรกิจใหม่ได้อย่างแข็งแกร่งจากช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้ว ด้วยการมุ่งเน้นอย่างต่อเนื่องในการสรรหาบุคลากรที่มีคุณภาพส่งผลให้จำนวนตัวแทนใหม่มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งส่งผลให้มูลค่าธุรกิจใหม่ของตัวแทนเพิ่มขึ้นเป็นเลขสองหลัก รวมถึงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ของเรากับธนาคารกรุงเทพส่งผลให้มูลค่าธุรกิจใหม่เติบโตอย่างยอดเยี่ยม โดยได้รับแรงหนุนจากประสิทธิภาพการทำงานของผู้ขายประกันภัยที่สูงขึ้น”

“ธุรกิจของเราในสิงคโปร์รายงานว่ามูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 โดยมีสาเหตุหลักมาจากยอดขายธุรกิจใหม่ที่เพิ่มขึ้นจากตัวแทนและประสิทธิภาพที่แข็งแกร่งจากของพันธมิตร ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ของเรากับซิตี้แบงก์มีการเติบโตที่แข็งแกร่งมาก โดยได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ”

“เอไอเอ มาเลเซีย รายงานว่ามูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 โดยได้รับแรงหนุนจากช่องทางการขายทั้งตัวแทนและพันธมิตร ตัวแทนในพรีเมียร์ เอเจนซี่ ของเราสร้างมูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นเป็นเลขสองหลัก ซึ่งมีผลมาจากกิจกรรมและประสิทธิภาพการทำงานของตัวแทนที่สูงขึ้น ประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้นของผู้เชี่ยวชาญด้านประกันภัยของเราผลักดันให้เกิดการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่จากการเป็นพันธมิตรด้านประกันผ่านธนาคารกับ Public Bank”

“มูลค่าธุรกิจใหม่ในตลาดอื่น ๆ ของเราเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 โดยส่วนใหญ่ได้รับแรงหนุนจากการเติบโตด้วยเลขสองหลักในประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ผลการดำเนินงานของเราในเวียดนามได้รับผลกระทบเชิงลบจากความไม่เชื่อมั่นทั่วทั้งอุตสาหกรรมและการลดจำนวนพนักงานใหม่ของเรา ในขณะที่เราเปลี่ยนแปลงหน่วยงานของเราอย่างต่อเนื่องและมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงคุณภาพ ทาทา เอไอเอ ประกันชีวิต มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นพร้อมการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ที่ยอดเยี่ยม ทาทา เอไอเอ ประกันชีวิต ขึ้นแท่นบริษัทประกันชีวิตเอกชนชั้นนำ 3 อันดับแรกในตลาด และยังคงเป็นผู้นำในธุรกิจประกันชีวิตรายบุคคล”

เอไอเอดำเนินธุรกิจอยู่ในตลาดที่มีโอกาสการขยายตัวของธุรกิจประกันชีวิตและประกันสุขภาพที่มีศักยภาพที่สุดในโลก และผมมั่นใจว่าเป้าหมายในระยะยาวของเอไอเอยังจะยังคงโดดเด่นอย่างแน่นอน ผลการดำเนินธุรกิจใหม่ของเราในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 เป็นไปในวงกว้างและมีความหลากหลาย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความได้เปรียบทางการแข่งขันที่สำคัญของเอไอเอในการคว้าโอกาสการเติบโตที่สำคัญในเอเชีย โดยเราจะยังคงยึดมั่นตามคำมั่นสัญญาของเราในการช่วยสนับสนุนผู้คนให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามกลยุทธ์หลักที่สำคัญเพื่อช่วยสร้างคุณค่าระยะยาวที่ยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของเราทุกฝ่าย”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Related posts