วันนี้ (5 ก.ค.64) นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถาน (ข้อมูล ณ วันที่ 4 กรกฎาคม 2564 เวลา 16.00 น.) พบผู้ต้องขังติดเชื้อรายใหม่ 84 ราย รักษาหายเพิ่ม 23 ราย รวมมีผู้ต้องขังติดเชื้อที่ยังอยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ 1,752 ราย
นายอายุตม์ เปิดเผยว่า ภาพรวมของสถานการณ์ในวันนี้ สถานะของเรือนจำมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เช่น เรือนจำสีแดงลดลง 1 แห่งเนื่องจากเรือนจำจังหวัดสงขลาสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ และไม่มีผู้ต้องขังติดเชื้อในเรือนจำแล้ว แต่ขณะเดียวกันก็พบสีแดงเพิ่มขึ้น 2 แห่ง คือ ทัณฑสถานหญิงกลาง ที่พบผู้ติดเชื้อจากแดนในอีกครั้ง และเรือนจำกลางสมุทรปราการ ที่พบผู้ติดเชื้อจากแดนในของเรือนจำ ทำให้มียอดเรือนจำสีแดงที่พบการระบาด 11 แห่ง และเรือนจำสีขาวที่ไม่พบการแพร่ระบาดคงเหลือ 122 แห่ง
ด้านจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นการติดเชื้อจากแดนในของเรือนจำสีแดง 81 ราย (ในเรือนจำกลางสงขลา เรือนจำกลางสมุทรปราการ เรือนจำจังหวัดสมุทรสาคร เรือนจำพิเศษมีนบุรี และทัณฑสถานหญิงกลาง) และการตรวจพบเชื้อในห้องแยกกักโรคผู้ต้องขังรับใหม่ 3 ราย มีผู้ป่วยที่รักษาหายเพิ่ม 23 ราย รวมหายสะสม 34,767 ราย หรือ 94.4% ของจำนวนผู้ติดเชื้อสะสม 36,818 ราย มีผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างรักษารวม 1,752 ราย โดยเป็นผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว 73.9% สีเหลือง 25.1% และสีแดง 1% ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตในวันนี้
ส่วนด้านการจัดสรรวัคซีน ในวันนี้ กรมราชทัณฑ์ จะได้รับวัคซีนเพิ่มเติมจากกรมควบคุมโรคอีก 10,000 โดส เพื่อฉีดแก่ผู้ต้องขังเป็นเข็มที่ 2 ตามกำหนดระยะเวลา และเป็นเข็มแรกในเรือนจำสีขาวในพื้นที่ ที่มีการแพร่ระบาด โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ทำให้ยอดรวมวัคซีนของกรมราชทัณฑ์ มีทั้งสิ้น 86,877 โดส ซึ่งได้ดำเนินการฉีดให้แก่ผู้ต้องขังในเรือนจำและทัณฑสถานไปแล้ว 46 แห่ง สำหรับเรือนจำและทัณฑสถานแห่งอื่นๆ กรมราชทัณฑ์ยังอยู่ระหว่างประสานกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อขอรับวัคซีนเพิ่มเติมจนกว่าจะครอบคลุมทั่วประเทศต่อไป
นายอายุตม์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมราชทัณฑ์ ได้เน้นย้ำเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคนให้สกัดกั้นเชื้อจากภายนอกที่อาจเข้าสู่เรือนจำและทัณฑสถานในทุกช่องทาง ทั้งจากเจ้าหน้าที่ ครอบครัว ผู้ต้องขังรับใหม่ รวมถึงบุคคลภายนอกและสิ่งของที่จะเข้าเรือนจำและทัณฑสถาน ซึ่งต้องทำความสะอาดและฆ่าเชื้อในทุกขั้นตอน และหมั่นรักษาความสะอาดในทุกพื้นที่ พร้อมทั้งขอความร่วมมือเจ้าหน้าที่ทุกคนให้ระมัดระวังตนเอง และงดการเดินทางเข้าพื้นที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อในทุกกรณี