“กรมราชทัณฑ์” รายงาน สถานการณ์โควิด-19 ประจำวัน เผย ทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง พ้นการระบาดเพิ่ม พร้อมแจงมาตรการตรวจหาเชื้อ-กักโรคผู้ต้องขังก่อนปล่อยทุกราย
วันนี้ (10 ส.ค.64) นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถาน (ข้อมูล ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564 เวลา 16.00 น.) พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 398 ราย (พบในเรือนจำสีแดง 395 ราย และพบในห้องแยกกักโรคผู้ต้องขังรับใหม่ 3 ราย) รักษาหายเพิ่ม 710 ราย เสียชีวิต 1 ราย ทำให้มีผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ 7,313 ราย (กลุ่มสีเขียว 82.9% สีเหลือง 16.7% และสีแดง 0.4%) เป็นพื้นที่กรุงเทพมหานคร 383 ราย ปริมณฑล 2,012 ราย และต่างจังหวัด 4,918 ราย
นายอายุตม์ กล่าวว่า ในวันนี้ ไม่พบเรือนจำและทัณฑสถานระบาดเพิ่มต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 และมีเรือนจำสีแดงที่พ้นการระบาด 1 แห่ง คือ ทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง ส่งผลให้มีเรือนจำสีแดงทั้งสิ้น 35 แห่ง และเรือนจำสีขาวที่ไม่มีการแพร่ระบาด 107 แห่ง โดยมีผู้ติดเชื้อรักษาหายสะสม 43,098 ราย หรือ 84.3% ของผู้ติดเชื้อสะสม 51,097 ราย เสียชีวิตสะสม 75 ราย คิดเป็นอัตรา 0.1% ของผู้ติดเชื้อสะสม
สำหรับผู้เสียชีวิตในวันนี้ เป็นผู้ต้องขังจากเรือนจำกลางปัตตานี ซึ่งจากข้อมูลพบเป็นกลุ่มเปราะบาง และมีโรคประจำตัว แม้ว่าได้ดำเนินการดูแลรักษาอย่างเต็มประสิทธิภาพตามมาตรฐานโดยทีมแพทย์ และมีการส่งต่อการรักษายังโรงพยาบาลภายนอกแล้ว แต่อาการยังคงไม่ดีขึ้น จนกระทั่งได้เสียชีวิตลง กรมราชทัณฑ์ ขอแสดงความเสียใจต่อการจากไป มา ณ โอกาสนี้ ทั้งนี้ ได้ประสานญาติเพื่อนำร่างผู้เสียชีวิตไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตามวิธีการจัดการศพผู้เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นที่เรียบร้อย
นายอายุตม์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยตัวผู้พ้นโทษ ตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2564 นอกจากผู้ต้องขังจะได้รับการอบรมตามโครงการพระราชทาน โคกหนองนาแห่งน้ำใจและความหวัง กรมราชทัณฑ์ ซึ่งเป็นโครงการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยแล้ว ผู้พ้นโทษจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ไม่ติดเชื้อ และกลุ่มที่ยังติดเชื้ออยู่ โดยในผู้ต้องขังที่ยังติดเชื้อ หากยินยอมจะได้รับการกักตัวเพื่อดูแลรักษาต่อในเรือนจำและทัณฑสถานจนครบระยะเวลา 14 วัน แต่หากไม่ยินยอม จะได้รับการดูแลในศูนย์พักพิงชั่วคราวบริเวณภายนอกเรือนจำ หรือส่งต่อเข้ารักษายังสถานพยาบาลภายนอกตามกระบวนการของกระทรวงสาธารณสุข