“ราชทัณฑ์” แจงประเด็น “อัจฉริยะ” ไลฟ์สด อดีตผู้ต้องขังแฉคุก

 

 

วันนี้ (4 ก.ย.64) นายธวัชชัย ชัยวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ในฐานะโฆษกกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงกรณี เพจเฟซบุ๊ก ทนายคลายทุกข์ (ทนายเดชาฯ และนายอัจฉริยะฯ) ได้เผยแพร่ผ่านการไลฟ์สด โดยมีผู้ร่วมรายการ 2 ท่าน ได้กล่าวว่าเป็นอดีตผู้ต้องขังที่เคยต้องโทษอยู่ที่เรือนจำกลางสมุทรปราการ และเรือนจำพิเศษธนบุรี โดยอ้างถึงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เรือนจำ ว่าประพฤติมิชอบเรียกรับผลประโยชน์ และการดำเนินการของเรือนจำที่ไม่มีมาตรฐานในการควบคุมผู้ต้องขัง รวมถึงถูกหลอกลวงเรื่องการถอดกำไล EM ต้องมีการเสียเงินเพื่อถอดก่อนกำหนดคุมประพฤติ นั้น

 

นายธวัชชัยฯ กล่าวว่า กรมราชทัณฑ์ มิได้นิ่งนอนใจ เนื่องจากเป็นการกล่าวหาต่อการปฏิบัติหน้าที่อันมิชอบของเจ้าหน้าที่ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ขององค์กรและความเชื่อมั่นของประชาชน โดยได้สั่งการให้เรือนจำทั้งสองแห่งรีบตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเร็ว ทั้งนี้ ได้รับรายงานจาก นายยุทธนา นาคเรืองศรี ผู้บัญชาการเรือนจำกลางสมุทรปราการ เบื้องต้นจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่อดีตผู้ต้องขังได้ออกมากล่าวหานั้น ในช่วงเวลาดังกล่าวตนยังไม่ได้มาดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการเรือนจำกลางสมุทรปราการ แต่ปัจจุบันตนได้ดำเนินการตรวจสอบแล้ว พบว่าการเรียกรับผลประโยชน์จากการถอดกำไล EM พบว่า มีผู้แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่เรือนจำจริง ซึ่งเคยต้องโทษอยู่ที่เรือนจำกลางสมุทรปราการ ด้วยข้อหาฉ้อโกง พ้นโทษออกไปตั้งแต่ 15 กันยายน 2563 และได้ไปหลอกลวงผู้ร่วมรายการดังกล่าว โดยเจ้าหน้าที่ของเรือนจำฯ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือหลอกลวงเรียกรับเงินแต่อย่างใด

 

สำหรับกรณีกล่าวหาว่ามีการเรียกรับผลประโยชน์เกี่ยวกับการออกทำงานภายนอกเรือนจำ ที่ผ่านมาเรือนจำได้ดำเนินการตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการส่งนักโทษเด็ดขาดออกไปทำงานงานสาธารณะอย่างเคร่งครัด ผู้ต้องขังจึงต้องมีคุณสมบัติตามที่กรมราชทัณฑ์กำหนดเท่านั้น อีกทั้ง กรมราชทัณฑ์ ได้ระงับการส่งตัวผู้ต้องขังออกภายนอก ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 จนถึงปัจจุบัน จึงไม่มีการนำผู้ต้องขังออกทำงานภายนอกในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา นอกจากนั้น ได้ตรวจสอบกรณีการเรียกรับผลประโยชน์เรื่องการย้ายแดน เพื่อให้ได้รับความสะดวกสบาย เบื้องต้นตรวจสอบแล้วไม่พบว่ามีเจ้าหน้าที่คนใดเรียกรับผลประโยชน์ตามที่พาดพิง เนื่องจากต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการจำแนก ที่ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมในการแก้ไข บำบัด ฟื้นฟู และพัฒนาแก่ผู้ต้องขังเป็นสำคัญ ประเด็นสุดท้ายที่กล่าวหาว่ามีการซื้อขายยารักษาโรคภายในเรือนจำนั้น ปกติเรือนจำได้มีการฝึกอบรม อาสาสมัครสาธารณสุขเรือนจำ (อสรจ.) และมีเจ้าหน้าที่พยาบาลที่ได้มาตรฐานทางวิชาชีพดูแล ซึ่งหากจำเป็นต้องสั่งยาตามแผนการรักษาจะต้องลงบันทึกในทะเบียน (OPD) การรักษาทุกครั้ง ดังนั้น กรณีที่ผู้ต้องขังนำไปขาย อาจเพราะมีอาการดีขึ้นจึงหยุดยา โดยไม่แจ้งเจ้าหน้าที่และนำยาดังกล่าวไปแลกผลประโยชน์กับเพื่อนผู้ต้องขังกันเอง

 

ในส่วนของเรือนจำพิเศษธนบุรี นายสมภพ รุจจนเวท ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษธนบุรี ได้ชี้แจงว่า ได้ดำเนินการทุกอย่างด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่การจำแนกคัดเลือกผู้ต้องขังให้รับหน้าที่เป็นผู้ช่วยเหลือ ต้องมีคณะกรรมการจากทุกฝ่ายพิจารณาคัดเลือก สำหรับประเด็นการใช้บุหรี่ เพื่อแลกกับประโยชน์ส่วนตัวต่างๆ ของผู้ต้องขัง นั้น ทางเรือนจำ ได้ยกเลิกการจำหน่ายบุหรี่ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2560 และยกเลิกการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาสูบ ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2561 เป็นต้นมา นอกจากนี้ เรือนจำพิเศษธนบุรีมีพื้นที่ห้องขนาดมาตรฐาน กว้าง 4.50 x 9 เมตร จำนวน 138 ห้อง รองรับผู้ต้องขังได้ 5,245 คน (คิดจากพื้นที่ 1.2 ตารางเมตรต่อคน) ปัจจุบัน มีผู้ต้องขังเพียง 3,745 คน ถือว่าต่ำกว่าอัตราความจุที่กำหนด จึงไม่ประสบปัญหาความแออัดของผู้ต้องขังแต่อย่างใด ประเด็นต่อมา เรื่องอาหารไม่ถูกสุขอนามัย เรือนจำได้ดำเนินการตามมาตรฐานอย่างเคร่งครัดทั้งเรื่องคุณภาพและความสะอาด มีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอจากหน่วยงานสาธารณสุข ด้านรสชาติอาหารต้องคำนึงถึงภาวะโภชนาการที่เหมาะสมเป็นหลัก อีกทั้ง มีปริมาณที่เพียงพอ เท่าเทียมและไม่เลือกปฏิบัติ รวมถึงการใช้แรงงานผู้ต้องขัง การรักษาพยาบาล การจัดเลี้ยงอาหาร และสภาพความเป็นอยู่ ทางเรือนจำฯ ปฏิบัติตามระเบียบ แบบแผนมาตรฐานของทางราชการอย่างเคร่งครัดทุกประการ

 

นายธวัชชัยฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า ที่ผ่านมากรมราชทัณฑ์ ได้เน้นย้ำให้เรือนจำและทัณฑสถานทุกแห่งปฏิบัติตามมาตรฐานการปฏิบัติงานของเรือนจำ (SOPs) อย่างเคร่งครัด และดำเนินงานภายใต้กรอบของกฎหมายและมาตรฐานสากลที่สำคัญ ยึดหลักคุณธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ อย่างไรก็ดี กรมราชทัณฑ์ยินดีรับฟังและขอรับข้อมูลใดๆ เพิ่มเติม เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งหากพบว่ามีเจ้าหน้าที่คนใดประพฤติมิชอบ กระทำตามที่ได้กล่าวอ้างนั้น กรมราชทัณฑ์ พร้อมดำเนินการทางวินัยและตามกฎหมายต่อไป

Related posts